Wednesday, October 29, 2014

เรื่องที่ 7 : ดอกเตอร์กับรูทและสูตรรักของเขา

หนังสือที่โฆษณาว่าเป็นนิยายรักเศร้า แต่พออ่านละไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย

เรื่องเปิดมาด้วยการแนะนำดอกเตอร์ แม่บ้าน และรูท หนังสือนิยายเล่มนี้อัดแน่นไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆ รักระหว่างแม่กับลูก รักแบบห่วงใยของแม่บ้าน รักต้องห้าม (?) รักในอดีต ความรักที่มีต่อเบสบอลล์ และที่สำคัญที่สุด ความรักต่อตัวเลขที่ดอกเตอร์มีให้

เป็นหนังสือที่ต้องใช้ความพยายามในการเข้าใจสูงมาก ตั้งแต่วิธีการเล่นเบสบอลล์ ต้องเข้าใจและจำชื่อนักเบสบอลล์ให้ได้ว่าคนนั้นคนนี้มีความหมายอย่างไร และจะปวดหัวเป็นพิเศษกับสูตรเลขต่างๆ บางทีทั้งหน้าก็เต็มไปด้วยตัวเลข ผู้เขียนคงจะพยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพตาม แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย งงงงงงงงงงง

เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างดอกเตอร์ แม่บ้าน หญิงม่าย และรูท ปกหลังเขียนซะเป็นรักสามเศร้า จริงๆเท่าที่รู้สึกก็คือตัวละครแม่บ้านมีความรักแบบห่วงใย เหมือนแม่เป็นห่วงลูกมากกว่ารักแบบคนรัก หญิงม่ายก็ไม่ได้เหมือนจะรักดอกเตอร์ในแบบนั้น แค่ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงดอกเตอร์ซึ่งมีความทรงจำแค่80 นาที

ชอบทุกตอนที่ดอกเตอร์แสดงความรักต่อรูท ช่วยสอนการบ้าน จัดงานวันเกิด เป็นมุมที่น่ารักมากๆ บรรยายออกมาได้น่ารัก ทั้งเรื่องดูเหมือนจะมีดอกเตอร์คนเดียวที่ผู้เขียนตั้งใจใส่รายละเอียดแบบชัดๆ เช่นว่ากลัวคน ไม่ชอบสระผม ไม่ชอบกินแครอท แต่ตัวละครอื่นค่อนข้างโดนละเลย

โดยรวมเป็นหนังสือที่บรรยากาศอบอุ่นดี ไม่อึดอัดมาก ไม่ค่อยพีค อ่านเพลินๆได้ ดอกเตอร์กับรูทน่ารัก

Friday, October 24, 2014

เรื่องที่ 25 : God Help The Girl

เรื่องที่ 25 : God Help The Girl - ดูลิโด้ - ดูคนเดียว
หนังเพลงออฟเดอะเยียร์ กลางเรื่องแอบน่าเบื่อ แต่พอนางร้องเพลงทีไรโลกน่าอยู่ขึ้นสามล้านเท่า

เป็นหนังที่คุ้มค่าตั๋วค่อนข้างมาก แม้ว่าตรงกลางเรื่องค่อนข้างลอย ไม่มีทิศทาง และร้องเพลงน้อยเกิน ก็ยังคุ้มค่าตั๋วอยู่ดี
หนังเล่าเรื่องของอีฟ เด็กสาวที่ป่วยเป็นอะนอแร็กเซีย แอบหนีออกไปนอกรพ. ละก็ได้เจอเพื่อน นักร้องผช. ชื่อ เจมส์ พอกลับมารพ. แต่งเพลง ป่วยเหมือนเดิม พอออกไปอีกเลยอยู่ยาว เจอเพื่อนผู้หญิงอีกคน ซึ่งเจมส์สอนกีต้าร์อยู่ ชื่อแคสซี่ เป็นเด็กบ้านรวย บุคลิกไม่ได้น่าหมั่นไส้เลยแต่ทำไมฉากที่เจอครั้งแรกรู้สึกหมั่นไส้ก็ไม่รู้ ทั้งสามรวมกันทำวง God Help The Girl ระหว่างนั้นอีฟก็คบกับแอนทอน นักร้องวงที่อีฟเอาเทป(ซึ่งไม่มีใครฟังเทปกันอีกแล้ว) ไปฝากให้เอาไปส่งรายการวิทยุ วงก็ทำเพลงไป อีฟก็นอนห้องเล็กๆใกล้กับเจมส์ พอเจมส์รู้ว่าอีฟคบกับแอนทอน ความสัมพันธ์ก็ไม่เหมือนเดิม อีฟตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการไปเรียนดนตรีที่ลอนดอน วงแสดงสดครั้งสุดท้าย จบ
หนังเล่าได้ค่อนข้างละเอียด หลายประเด็นก็ผ่านไปโดยที่ไม่ต้องตั้งคำถามว่าตกลงมันยังไงนะ แม้ไม่เคยอ่านเรื่องย่อไปเลยก็ดูรู้เรื่อง เพลงเล่าได้ครอบคลุมและน่าสนใจมากๆ ทุกๆครั้งที่ร้องเพลงจะรู้สึกตื่นเต้น ชอบทุกๆเพลงตั้งแต่ฉากแรก โดยเฉพาะเพลงที่ร้องกับเจมส์ในห้อง ที่อีฟเล่นเป็นคุณหมอ น่ารักมากกกกก เพลงที่บอกว่า I'll have to dance with cassie ก็น่ารัก
หนังเล่าได้ทุกประเด็นของการทำวง ตั้งแต่หานักดนตรี ตั้งวง ซ้อมวง ชอบๆ 5555 อิน
โชว์เมืองกลาสโกลว์ได้เต็มที่มากๆตั้งแต่เมือง มุมสูง แม่น้ำ พายเรือ ชอบเรื่องที่อีฟเล่าตอนพายเรือว่าเกิดที่ออสเตรเลีย ละตามหนุ่มมาสก็อตแลนด์ เรื่อยเปื่อยดี 5555 หนังมีทุกมุมตั้งแต่สนุก มีเพื่อน เหงา ป่วย ปวดร้าว อยากหนี อยากอยู่กับเพื่อน เศร้า รัก อกหัก คิดถึง โอย ครบ
แอนทอนเป็นตัวละครที่น่าตบที่สุดในเรื่อง 5555555
ตอนคุณหมอโผล่มาร้องเพลงแปปๆ น่ารักดีอะ 55 
นักดนตรีสองคนที่โผล่มาเป็นตัวอิจฉาโคตรตลกอะ5555555 ไร้สาระดี
ฉากจบคือฟินมากๆ จบแบบทุกคนแยกย้าย จบแบบจบดี ชอบๆ

ไปดูเถอะ แล้วจะรักทุกโมเม้นต์ในหนังเรื่องนี้
เกิดมาก็เพิ่งเคยดูโรงลิโด้3 กว่าจะหาเจอ!!

เรื่องที่ 6 : Son เก๊บกับการเปลี่ยนแปลง

เล่มจบสมบูรณ์ของวรรณกรรมชุด The Giver / โดยรวมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่การมีตอนจบของตัวละคร "เก๊บ" ที่ผู้อ่านได้ติดตามมาตั้งแต่เป็นทารก ก็เป็นประเด็นที่ค่อนข้างน่าสนใจและชวนติดตาม

เล่มสุดท้ายก็ยังคงความสนุกและน่าติดตามไว้ได้เหมือนเล่มแรกๆ ยิ่งอ่านก็จะ recall ไปได้เรื่อยๆถึงฉากในภาคแรก และ เมือง ผู้แลกเปลี่ยน เก๊บ แม็ตตี้ ฯลฯ ช่วงต้นๆของหนังสือค่อนข้างน่าติดตาม แต่พอมาถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานเพาะพันธุ์ปลา แคลร์ไปหาเก๊บ ฯลฯ จะเริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากหมู่บ้านเดิมใน The Giver ที่ทุกคนจะเคร่งครัดกฎมากๆ แต่เนื่องจากแคลร์ไม่ได้กินยาเหมือนคนอื่นๆ เธอจึงมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มีการกระทำหลายๆอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดว่าเธอแตกต่าง ตอนออกจากหมู่บ้านยิ่งพีคใหญ่ เป็นฉากที่งงและค่อนข้างหลุดไปจากภาพเดิมๆที่เคยอ่านมา
พอเข้าถึงเล่มสองยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เปลี่ยนโหมดไปเลย ชอบที่คนเขียนใส่ใจในรายละเอียดต่างๆของตัวละคร เช่นแคลร์ไม่เคยรู้จักสีต่างๆ กลัวนก แมลง สัตว์ ไม่รู้จักต้นไม้ชนิดต่างๆ ชอบที่ค่อยๆให้แคลร์จดจำเรื่องต่างๆได้ทีละนิดทีละหน่อย แต่ด้วยฉากที่เป็นทะเล ทำให้รู้สึกว่าฉีกแนวออกจากเนื้อเรื่องที่เคยมีมามากเกินไปหน่อย การที่แคลร์ออกกำลังการจนฟิตก็ค่อนข้างเว่อร์ไปนิด
เล่มสามรู้สึกตื่นเต้นที่ตัวละครเก่าๆกลับมา ตั้งแต่ โจนาส คิรา เก๊บ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญการแลกเปลี่ยน ภาคนี้รู้สึกโจนาสอ่อนด๋อยมาก 55555 แต่ชอบที่ให้โจนาสคู่กับคิรา ทั้งคู่เหมือนเป็นตัวละครที่พัฒนาไปพร้อมๆกับผู้อ่าน เล่มสามค่อยรู้สึกลุ้น และกลับมาเป็น the giver ที่รู้จัก ได้ลุ้นไปพร้อมๆกับโจนาส เก๊บ และแคลร์ ตอนจบรู้สึกไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ แต่ก็ยัง happy ending

โดยรวมตัวหนังสือสนุก แต่ไม่ค่อยเข้าพวก ไม่อ่านก็ไม่ถึงกับรู้สึกไม่จบค่ะ


Thursday, October 9, 2014

เรื่องที่ 24: Liberal Arts

เรื่องที่ 24: Liberal Arts-ดูที่บ้าน-ดูคนเดียว
บางทีการดูหนังอินดี้ติดกันสองวันก็ทำเอามึนเหมือนกันนะ

หนังที่ represent คำว่า Liberal ได้แบบลิเบอรั้ลลลลล มากๆ ทุกอณูของบทแทรกความคิด จิตวิญญาณ ความมึน ความลึกของลิเบอรัลได้ชัดเจน และไม่ใช่เป็นหนังของแค่ชาวลิเบอรัลเฉพาะที่กล่าวถึงในเรื่อง (การแสดง ภาษา ประวัติศาสตร์ วรรณคดี) แต่เป็นหนังของชาวสายศิลป์ทั้งมวล ดูแล้วก็นั่งขำอย่างบ้าคลั่งทั้งที่ไม่ใช่หนังตลก แต่มันโดนมากๆ เป็นหนังที่ quote มาใช้ได้แบบตลอดกาล "จงใส่เกราะป้องกันให้หัวใจอันบอบบางของเธอ" ฉากที่นั่งวิเคระห์ทไวไลท์นี่คือใช่ คือโดนมากๆ 55555 ดูละแบบ โอยตาย I can relate to แบบสุด อธิบายตัวตนของเจสซี่และซิบบี้ได้ทั้งหมดทั้งมวลในหนึ่งฉาก ชอบที่อธิบายเรื่องเพลงคลาสสิคอย่างจริงจังมาก แบบขนาดไม่เคยฟังเลยยังนึกภาพตามออก "ฟังแล้วรู้สึกเหมือนหนังโจรกรรม" 55555 ชอชอบที่หนังค่อยๆเติมเนื้อเรื่องลงไปโดยไม่ทิ้งตัวละครไปเฉยๆ แต่ละตัวละครต่างมีมุมมองในแบบ 'ลิเบอรัล' ของตัวเอง ดีนเป็นตัวละครแบบจมดิ่งในความคิดของตัวเอง ปีเตอร์เป็นแบบคิดอะไรเร็วๆละสุดท้ายก็กลับมาregret โปรเฟสเซอร์ที่เปรี้ยวๆเป็นแบบเผชิญโลกมามาก เจสซี่จริงๆแล้วก็เป็นเหมือนเด็ก college ที่ไม่ยอมโต จมอยู่กับโลกจินตนาการในหนังสือ อยู่กับโลกที่ออกแนวเพ้อฝันและไม่ยอมรับความจริง ซิบบี้เป็นแบบสว่างสดใส จะว่าโตแล้วก็ไม่เชิง แต่ก็โตแล้วมั้ง(?)  ตอนจบทำเอาค้างไปเลย แต่ก็สรุปประเด็นของเรื่องนี้ได้ชัดๆเลยว่าเกี่ยวกับการ Growing Up เลิกยึดติดกับความคิดเดิมๆ ขนาดคนที่คิดว่าเป็น adult แล้วอย่างเจสซี่ยังไม่เฉียดเข้าใกล้การ"โตแล้ว"อย่างที่โปรเฟสเซอร์บอกในห้องนอนเลย

ชอบ
-ชอบตัวละครดีนมากๆ รู้สึกได้ถึงลักษณะของคนใน generation นี้ที่ถูกกดดัน ต้องแบบรับความภาคภูมิใจ ความรู้สึกของคนในบ้าน หลายสิ่งหลายๆอย่างที่แสดงออกมาได้อย่างน่าสนใจ ฉากในโรงพยาบาลรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้แค่จะบอกกับดีน แต่กำลังบอกเด็กๆทุกคนให้เลิกจมดิ่ง เลิกพยายามจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่ใช่ ไม่รู้อะ มันอธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกได้มากๆๆๆ
-อยากมีหนุ่มที่คุยกันเรื่องหนังสือได้แบบนี้บ้าง (ไม่เกี่ยว ท่ด)
-แซค แอฟรอน


ยังงงๆกับเรื่องย่อข้างหลังนะ คือเจสซี่ทำงานในนิวยอร์คไม่ใช่อ่อ อธิบายที

Wednesday, October 8, 2014

เรื่องที่ 23: Lost in Translation

เรื่องที่ 23: Lost in Translation-ดูที่บ้าน-ดูคนเดียว
หนังที่ดูเหมือนจะไม่เหงา แต่ตอนดูนี่นั่งกอดเข่ากลิ้งไปกลิ้งมาอย่างปวดร้าว ดูจบก็จิตหลุด TT

หนังที่เทรเลอร์ดูเหมือนหนังตลกฮอลลีวู้ดธรรมดา พอดูไปก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเหงาหรือเปลี่ยวอะไรขนาดนั้น แต่พอทั้งหมดมารวมกันแล้วดันจบเหงาแบบลอยไปเลย เป็นหนังที่ชวนติดตามมาก ดูแล้วจะเพลินๆอยากรู้ว่าเดี๋ยวจะมีอะไรต่อ หลายๆฉากอยู่ดีๆก็จบไป เช่นฉากที่ไปวัด ก็จบลอยๆ ยังคิดตามไม่ทันเลย ได้ฟีลอินดี้ๆฮอลลีวู้ดๆ งงๆนิดนึง หนังเรื่องนี้เน้นเรื่องความละเลยของคนที่เราสนทนาด้วยบ่อยๆ เช่นเพื่อนที่ชาร์ล็อตต์โทรไปหา อยู่ดีๆก็บอกให้ถือสายรอ ภรรยาของบ็อบ ที่ทุกครั้งที่โทรมาบทสนทนาก็จะจบแบบห้วนๆ จนบ็อบก็เบื่อที่จะคุย เป็นหนังที่ดูแล้วก็ยังสลัดเอาความเหงาออกไปได้ไม่หมด ถ้ายังคงคิดตามไปเรื่อยๆ ภาพสวยดี ชอบฉากที่ยืนดูเจ้าสาวแล้วยิ้ม มันตีความได้ว่ายังไงก็ไม่รู้นะ แต่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง สีก็สวยดี ฉากจบคือสุดแล้ว คือดูๆไปนั่งขดตัว รู้สึกปวดร้าวแทนตัวละครไปตลอดเวลา ความผูกพันของคนต่างวัย ต่างคนต่างแต่งงานแล้ว สถานภาพที่เป็นได้แค่เพื่อน ทั้งหมดมารวมๆกันแล้วอธิบายคำว่า Lost ได้ชัดเจนมาก




เรื่องที่ 5: ปีกนางฟ้า

เรื่องที่ 5: ปีกนางฟ้า
นิยายที่ตอนแรกอ่านไปละรู้สึกว่าคงจะเป็นนิยายเหงาๆเคว้งๆอีกเรื่อง แต่พอจบละแฮปปี้ดี
เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่เป็นชู้กับสามีคนอื่น แต่พอเลิกกันแปดปีต่อมา ก็เคว้งมากๆ ไม่รู้จะทำอะไร เลยกลับบ้าน ช่วงต้นของหนังสือเล่าย้ำๆๆๆๆถึงความเคว้ง เรื่องที่ทำมาด้วยกัน สถานที่ต่างๆ ค่อยๆขยายความการเป็น"ชู้" เช่นว่ามีห้องที่โตเกียวไว้เจอกัน ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันศุกร์ อ่านแล้วก็เหงาตามไปเรื่อยๆ พอกลับไปยังบ้านเกิดก็ยังเหงาอยู่ เพราะทำงานในร้านกาแฟของย่า นอนหลังร้าน แต่เรื่องค่อยๆเปลี่ยนโหมดตั้งแต่เจอกับมิซึรุ ละแฮปปี้ น่ารักๆไปจนจบเล่ม คืออ่านเพลินมาก หนังสือเล่มนี้ใส่เรื่องวิญญาณ ดูดวง สัมผัสพิเศษ อะไรพวกนี้เยอะอยู่ แต่ก็เพลินๆ กลืนไปเป็นเนื้อเดียวกับเนื้อเรื่อง จบแบบค่อนข้างปลายเปิด บอกค้างๆไว้ ก็น่าสนใจดี

ชอบ
-ที่กินราเม็งกันทั้งเรื่อง อ่านแล้วหิว 555555555
-ชอบที่เอาเรื่องฝันมาเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง ที่ทำให้หาของเจอ แม่หายป่วย ฯลฯ พีคดดี
-ชอบที่ค่อยๆปล่อยเรื่องของชู้รักออกไป เหมือนพอเรื่องดำเนินไปก็ค่อยๆลืมเรื่องเศร้าๆไปเรื่อยๆ
-คุณยายนักบุญแห่งสถานีรถโดยสารนี่น่ารักมาก ชอบๆ
-บางดีอ่านจบเร็วดี 555555555
-ตอนจบน่ารักมาก จบค้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกค้าง


Monday, October 6, 2014

เรื่องที่ 22: Premium Rush

เรื่องที่ 22: Premium Rush-ดูที่บ้าน-ดูกับพ่อ
หนังปั่นจักรยานที่ความยาวของเหตุการณ์จริงๆยาวพอๆกับหนัง แต่เหนื่อยและตื่นเต้นมากกกกก พี่โจเซฟไม่หล่อเท่าไหร่แต่ก็ใช้ได้ 5555555555
เป็นหนังที่มันส์มากอะแกก แบบดูไปนี่คือแทบไม่มีเวลาวอกแวก บางทีซับก็เยอะ อ่านละงงๆ คือโง่มากไม่เข้าใจอะไรโพยก๊วนอะไรปลาช่อน แต่พอดูๆไปก็พอเข้าใจ คือแบบชอบที่ค่อยๆปล่อยเรื่องมาทีละนิด ทำหนังฟีลสืบสวนให้ดูน่าติดตาม มากกว่าแอคชั่นที่ปล่อยๆเนื้อเรื่องลอยๆละเดาตอนจบได้ตั้งแต่สามวิแรก เป็นหนังที่คนขี่จักรยานเป็นประจำ ไม่ว่าจะจักรยานแม่บ้านอย่างเราหรือจักรยานอื่นๆ สามารถ relate to ได้ง่ายมากๆๆๆ ยิ่งฉากที่ต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะไปทางไหนดีนี่คือใช่มาก 5555555555 ชอบที่ทำฉากโดนรถชนได้เจ็บดีมาก เกร๋ เบื้องหลังดูสนุกมากๆ ใครซื้อดีวีดีมาละยังไม่ได้ดูเบื้องหลังแนะนำเลย เค้าเอาสตันท์พี่โจเซฟมาสี่คนเพื่อขี่จักรยานสไตล์ต่างๆ ละมีคนนึงเป็น bike messenger ที่เร็วที่สุดในนิวยอร์คจริงๆ ตามบทพี่โจเซฟเลย เกร๋ๆ ฉากระดมพลตอนจบคือเด็ด เป็นหนังที่ค่อนไปทางดี นางเอกก็ไม่ใช่แค่มาฟีลเติมเต็มบทไปงั้น แต่เท่จริงๆ เข้ากับบทมาก ฉากในเซ็นทรัลปาร์คคือมันส์ ชอบตำรวจจักรยาน จี้มาก 55555555555555

สรุปคือเป็นหนังที่คนที่ขี่จักรยานเป็นทุกคนควรดู หนังไม่น่าเบื่อ สนุก บทไม่งี่เง่ามาก
ปล. เป็นหนังที่ถ่ายทำในนิวยอร์ค แต่ดูแล้วไม่ได้รู้สึกอินกับสถานที่ซักเท่าไหร่ เห็นแต่ถนน รถติดๆๆๆๆๆ แต่เซ็นทรัลปาร์คคือพีค คือเขียวร่มรื่นเว่อร์

นางเอก พระเอก ละสาวผู้ทำให้ทั้งเรื่องปั่นป่วนด้วยจดหมายฉบับเดียว 55555