Thursday, November 20, 2014

เรื่องที่26: Love, Rosie

เรื่องที่26: Love, Rosie - ดูเมเจอรัชโยธิน - ดูกับที่บ้าน

หนังรักที่ฟินได้เรื่อยๆ (แต่ทำไมหน้านางเอกไม่แก่ขึ้นเลยวะ 55555)

จริงๆอ่านนิยายเรื่องนี้มานานมากแล้ว ความพีคของนิยายอยู่ตรงที่วิธีในการส่งข้อความของทั้งคู่ ตั้งแต่กระดาษโน๊ตในห้อง แชท msn จดหมาย อีเมล์ แชทมือถือ โทร ฯลฯ แต่ด้วยข้อจำกัดของหนังทำให้ใส่รายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด เป็นประเด็นหลักมากๆที่หายไป คือแทบไม่รู้สึกถึงการคุยกันทางออนไลน์/จม.เลย ทั้งๆหนังก็พยายามแทรก แต่อาจจะดูยัดเยียดไปนิดนึง(?)
หนังเล่าผ่านวัยเด็กอย่างรวดเร็ว แทบจะวาร์ปไปเลย ทั้งที่เป็นประเด็นหลัก(อีกเหมือนกัน)จากหนังสือ พอถึงช่วงก่อนท้องก็เล่างงๆชนิดที่อ่านมายังตามไม่ทัน โรซี่สวยมากกกกก ชอบ แต่อเล็กซ์หล่อประมาณนึง 55 ชอบฉากที่คลอด ตอนเลี้ยงลูก ซึ้งอยู่ นางเอกโคตรน่าสงสารอะ แบบคบกับใครก็ไม่รอด โถ ฉากที่พีคที่สุดในเรื่องคงเป็นตอนที่อเล็กซ์หันมาบอกลูกโรซี่ว่า ถ้าปฏิเสธหนุ่มไปอะ เดี๋ยวก็เป็นแบบเขา ที่ต้องไปหาผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกมาเพื่อช่วยให้ลืมผู้หญิงคนที่ชอบ (ซึ่งหมายถึงโรซี่) แบบโอยยยย งือวววว
จริงๆตอนจบอะ ในเรื่องมันเป็นแบบแก่เลยนะ ไม่ใช่ยังหนุ่มๆอยู่ แบบในหนังสือโคตรทำร้ายอะ 55555555555 เค้าคงไม่อยากทำร้ายคนดูหนัง
แต่สรุปก็คือชอบ ทำออกมาได้ดีพอสมควร แต่ไม่ค่อยเน้นฉากเมืองเลย ไม่ฟินเลย 555
ให้ไป8/10


Wednesday, October 29, 2014

เรื่องที่ 7 : ดอกเตอร์กับรูทและสูตรรักของเขา

หนังสือที่โฆษณาว่าเป็นนิยายรักเศร้า แต่พออ่านละไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย

เรื่องเปิดมาด้วยการแนะนำดอกเตอร์ แม่บ้าน และรูท หนังสือนิยายเล่มนี้อัดแน่นไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆ รักระหว่างแม่กับลูก รักแบบห่วงใยของแม่บ้าน รักต้องห้าม (?) รักในอดีต ความรักที่มีต่อเบสบอลล์ และที่สำคัญที่สุด ความรักต่อตัวเลขที่ดอกเตอร์มีให้

เป็นหนังสือที่ต้องใช้ความพยายามในการเข้าใจสูงมาก ตั้งแต่วิธีการเล่นเบสบอลล์ ต้องเข้าใจและจำชื่อนักเบสบอลล์ให้ได้ว่าคนนั้นคนนี้มีความหมายอย่างไร และจะปวดหัวเป็นพิเศษกับสูตรเลขต่างๆ บางทีทั้งหน้าก็เต็มไปด้วยตัวเลข ผู้เขียนคงจะพยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพตาม แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย งงงงงงงงงงง

เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างดอกเตอร์ แม่บ้าน หญิงม่าย และรูท ปกหลังเขียนซะเป็นรักสามเศร้า จริงๆเท่าที่รู้สึกก็คือตัวละครแม่บ้านมีความรักแบบห่วงใย เหมือนแม่เป็นห่วงลูกมากกว่ารักแบบคนรัก หญิงม่ายก็ไม่ได้เหมือนจะรักดอกเตอร์ในแบบนั้น แค่ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นห่วงดอกเตอร์ซึ่งมีความทรงจำแค่80 นาที

ชอบทุกตอนที่ดอกเตอร์แสดงความรักต่อรูท ช่วยสอนการบ้าน จัดงานวันเกิด เป็นมุมที่น่ารักมากๆ บรรยายออกมาได้น่ารัก ทั้งเรื่องดูเหมือนจะมีดอกเตอร์คนเดียวที่ผู้เขียนตั้งใจใส่รายละเอียดแบบชัดๆ เช่นว่ากลัวคน ไม่ชอบสระผม ไม่ชอบกินแครอท แต่ตัวละครอื่นค่อนข้างโดนละเลย

โดยรวมเป็นหนังสือที่บรรยากาศอบอุ่นดี ไม่อึดอัดมาก ไม่ค่อยพีค อ่านเพลินๆได้ ดอกเตอร์กับรูทน่ารัก

Friday, October 24, 2014

เรื่องที่ 25 : God Help The Girl

เรื่องที่ 25 : God Help The Girl - ดูลิโด้ - ดูคนเดียว
หนังเพลงออฟเดอะเยียร์ กลางเรื่องแอบน่าเบื่อ แต่พอนางร้องเพลงทีไรโลกน่าอยู่ขึ้นสามล้านเท่า

เป็นหนังที่คุ้มค่าตั๋วค่อนข้างมาก แม้ว่าตรงกลางเรื่องค่อนข้างลอย ไม่มีทิศทาง และร้องเพลงน้อยเกิน ก็ยังคุ้มค่าตั๋วอยู่ดี
หนังเล่าเรื่องของอีฟ เด็กสาวที่ป่วยเป็นอะนอแร็กเซีย แอบหนีออกไปนอกรพ. ละก็ได้เจอเพื่อน นักร้องผช. ชื่อ เจมส์ พอกลับมารพ. แต่งเพลง ป่วยเหมือนเดิม พอออกไปอีกเลยอยู่ยาว เจอเพื่อนผู้หญิงอีกคน ซึ่งเจมส์สอนกีต้าร์อยู่ ชื่อแคสซี่ เป็นเด็กบ้านรวย บุคลิกไม่ได้น่าหมั่นไส้เลยแต่ทำไมฉากที่เจอครั้งแรกรู้สึกหมั่นไส้ก็ไม่รู้ ทั้งสามรวมกันทำวง God Help The Girl ระหว่างนั้นอีฟก็คบกับแอนทอน นักร้องวงที่อีฟเอาเทป(ซึ่งไม่มีใครฟังเทปกันอีกแล้ว) ไปฝากให้เอาไปส่งรายการวิทยุ วงก็ทำเพลงไป อีฟก็นอนห้องเล็กๆใกล้กับเจมส์ พอเจมส์รู้ว่าอีฟคบกับแอนทอน ความสัมพันธ์ก็ไม่เหมือนเดิม อีฟตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการไปเรียนดนตรีที่ลอนดอน วงแสดงสดครั้งสุดท้าย จบ
หนังเล่าได้ค่อนข้างละเอียด หลายประเด็นก็ผ่านไปโดยที่ไม่ต้องตั้งคำถามว่าตกลงมันยังไงนะ แม้ไม่เคยอ่านเรื่องย่อไปเลยก็ดูรู้เรื่อง เพลงเล่าได้ครอบคลุมและน่าสนใจมากๆ ทุกๆครั้งที่ร้องเพลงจะรู้สึกตื่นเต้น ชอบทุกๆเพลงตั้งแต่ฉากแรก โดยเฉพาะเพลงที่ร้องกับเจมส์ในห้อง ที่อีฟเล่นเป็นคุณหมอ น่ารักมากกกกก เพลงที่บอกว่า I'll have to dance with cassie ก็น่ารัก
หนังเล่าได้ทุกประเด็นของการทำวง ตั้งแต่หานักดนตรี ตั้งวง ซ้อมวง ชอบๆ 5555 อิน
โชว์เมืองกลาสโกลว์ได้เต็มที่มากๆตั้งแต่เมือง มุมสูง แม่น้ำ พายเรือ ชอบเรื่องที่อีฟเล่าตอนพายเรือว่าเกิดที่ออสเตรเลีย ละตามหนุ่มมาสก็อตแลนด์ เรื่อยเปื่อยดี 5555 หนังมีทุกมุมตั้งแต่สนุก มีเพื่อน เหงา ป่วย ปวดร้าว อยากหนี อยากอยู่กับเพื่อน เศร้า รัก อกหัก คิดถึง โอย ครบ
แอนทอนเป็นตัวละครที่น่าตบที่สุดในเรื่อง 5555555
ตอนคุณหมอโผล่มาร้องเพลงแปปๆ น่ารักดีอะ 55 
นักดนตรีสองคนที่โผล่มาเป็นตัวอิจฉาโคตรตลกอะ5555555 ไร้สาระดี
ฉากจบคือฟินมากๆ จบแบบทุกคนแยกย้าย จบแบบจบดี ชอบๆ

ไปดูเถอะ แล้วจะรักทุกโมเม้นต์ในหนังเรื่องนี้
เกิดมาก็เพิ่งเคยดูโรงลิโด้3 กว่าจะหาเจอ!!

เรื่องที่ 6 : Son เก๊บกับการเปลี่ยนแปลง

เล่มจบสมบูรณ์ของวรรณกรรมชุด The Giver / โดยรวมไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ แต่การมีตอนจบของตัวละคร "เก๊บ" ที่ผู้อ่านได้ติดตามมาตั้งแต่เป็นทารก ก็เป็นประเด็นที่ค่อนข้างน่าสนใจและชวนติดตาม

เล่มสุดท้ายก็ยังคงความสนุกและน่าติดตามไว้ได้เหมือนเล่มแรกๆ ยิ่งอ่านก็จะ recall ไปได้เรื่อยๆถึงฉากในภาคแรก และ เมือง ผู้แลกเปลี่ยน เก๊บ แม็ตตี้ ฯลฯ ช่วงต้นๆของหนังสือค่อนข้างน่าติดตาม แต่พอมาถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานเพาะพันธุ์ปลา แคลร์ไปหาเก๊บ ฯลฯ จะเริ่มรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากหมู่บ้านเดิมใน The Giver ที่ทุกคนจะเคร่งครัดกฎมากๆ แต่เนื่องจากแคลร์ไม่ได้กินยาเหมือนคนอื่นๆ เธอจึงมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มีการกระทำหลายๆอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดว่าเธอแตกต่าง ตอนออกจากหมู่บ้านยิ่งพีคใหญ่ เป็นฉากที่งงและค่อนข้างหลุดไปจากภาพเดิมๆที่เคยอ่านมา
พอเข้าถึงเล่มสองยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เปลี่ยนโหมดไปเลย ชอบที่คนเขียนใส่ใจในรายละเอียดต่างๆของตัวละคร เช่นแคลร์ไม่เคยรู้จักสีต่างๆ กลัวนก แมลง สัตว์ ไม่รู้จักต้นไม้ชนิดต่างๆ ชอบที่ค่อยๆให้แคลร์จดจำเรื่องต่างๆได้ทีละนิดทีละหน่อย แต่ด้วยฉากที่เป็นทะเล ทำให้รู้สึกว่าฉีกแนวออกจากเนื้อเรื่องที่เคยมีมามากเกินไปหน่อย การที่แคลร์ออกกำลังการจนฟิตก็ค่อนข้างเว่อร์ไปนิด
เล่มสามรู้สึกตื่นเต้นที่ตัวละครเก่าๆกลับมา ตั้งแต่ โจนาส คิรา เก๊บ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญการแลกเปลี่ยน ภาคนี้รู้สึกโจนาสอ่อนด๋อยมาก 55555 แต่ชอบที่ให้โจนาสคู่กับคิรา ทั้งคู่เหมือนเป็นตัวละครที่พัฒนาไปพร้อมๆกับผู้อ่าน เล่มสามค่อยรู้สึกลุ้น และกลับมาเป็น the giver ที่รู้จัก ได้ลุ้นไปพร้อมๆกับโจนาส เก๊บ และแคลร์ ตอนจบรู้สึกไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ แต่ก็ยัง happy ending

โดยรวมตัวหนังสือสนุก แต่ไม่ค่อยเข้าพวก ไม่อ่านก็ไม่ถึงกับรู้สึกไม่จบค่ะ


Thursday, October 9, 2014

เรื่องที่ 24: Liberal Arts

เรื่องที่ 24: Liberal Arts-ดูที่บ้าน-ดูคนเดียว
บางทีการดูหนังอินดี้ติดกันสองวันก็ทำเอามึนเหมือนกันนะ

หนังที่ represent คำว่า Liberal ได้แบบลิเบอรั้ลลลลล มากๆ ทุกอณูของบทแทรกความคิด จิตวิญญาณ ความมึน ความลึกของลิเบอรัลได้ชัดเจน และไม่ใช่เป็นหนังของแค่ชาวลิเบอรัลเฉพาะที่กล่าวถึงในเรื่อง (การแสดง ภาษา ประวัติศาสตร์ วรรณคดี) แต่เป็นหนังของชาวสายศิลป์ทั้งมวล ดูแล้วก็นั่งขำอย่างบ้าคลั่งทั้งที่ไม่ใช่หนังตลก แต่มันโดนมากๆ เป็นหนังที่ quote มาใช้ได้แบบตลอดกาล "จงใส่เกราะป้องกันให้หัวใจอันบอบบางของเธอ" ฉากที่นั่งวิเคระห์ทไวไลท์นี่คือใช่ คือโดนมากๆ 55555 ดูละแบบ โอยตาย I can relate to แบบสุด อธิบายตัวตนของเจสซี่และซิบบี้ได้ทั้งหมดทั้งมวลในหนึ่งฉาก ชอบที่อธิบายเรื่องเพลงคลาสสิคอย่างจริงจังมาก แบบขนาดไม่เคยฟังเลยยังนึกภาพตามออก "ฟังแล้วรู้สึกเหมือนหนังโจรกรรม" 55555 ชอชอบที่หนังค่อยๆเติมเนื้อเรื่องลงไปโดยไม่ทิ้งตัวละครไปเฉยๆ แต่ละตัวละครต่างมีมุมมองในแบบ 'ลิเบอรัล' ของตัวเอง ดีนเป็นตัวละครแบบจมดิ่งในความคิดของตัวเอง ปีเตอร์เป็นแบบคิดอะไรเร็วๆละสุดท้ายก็กลับมาregret โปรเฟสเซอร์ที่เปรี้ยวๆเป็นแบบเผชิญโลกมามาก เจสซี่จริงๆแล้วก็เป็นเหมือนเด็ก college ที่ไม่ยอมโต จมอยู่กับโลกจินตนาการในหนังสือ อยู่กับโลกที่ออกแนวเพ้อฝันและไม่ยอมรับความจริง ซิบบี้เป็นแบบสว่างสดใส จะว่าโตแล้วก็ไม่เชิง แต่ก็โตแล้วมั้ง(?)  ตอนจบทำเอาค้างไปเลย แต่ก็สรุปประเด็นของเรื่องนี้ได้ชัดๆเลยว่าเกี่ยวกับการ Growing Up เลิกยึดติดกับความคิดเดิมๆ ขนาดคนที่คิดว่าเป็น adult แล้วอย่างเจสซี่ยังไม่เฉียดเข้าใกล้การ"โตแล้ว"อย่างที่โปรเฟสเซอร์บอกในห้องนอนเลย

ชอบ
-ชอบตัวละครดีนมากๆ รู้สึกได้ถึงลักษณะของคนใน generation นี้ที่ถูกกดดัน ต้องแบบรับความภาคภูมิใจ ความรู้สึกของคนในบ้าน หลายสิ่งหลายๆอย่างที่แสดงออกมาได้อย่างน่าสนใจ ฉากในโรงพยาบาลรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้แค่จะบอกกับดีน แต่กำลังบอกเด็กๆทุกคนให้เลิกจมดิ่ง เลิกพยายามจะเป็นในสิ่งที่ตัวเองไม่ใช่ ไม่รู้อะ มันอธิบายไม่ถูก แต่รู้สึกได้มากๆๆๆ
-อยากมีหนุ่มที่คุยกันเรื่องหนังสือได้แบบนี้บ้าง (ไม่เกี่ยว ท่ด)
-แซค แอฟรอน


ยังงงๆกับเรื่องย่อข้างหลังนะ คือเจสซี่ทำงานในนิวยอร์คไม่ใช่อ่อ อธิบายที

Wednesday, October 8, 2014

เรื่องที่ 23: Lost in Translation

เรื่องที่ 23: Lost in Translation-ดูที่บ้าน-ดูคนเดียว
หนังที่ดูเหมือนจะไม่เหงา แต่ตอนดูนี่นั่งกอดเข่ากลิ้งไปกลิ้งมาอย่างปวดร้าว ดูจบก็จิตหลุด TT

หนังที่เทรเลอร์ดูเหมือนหนังตลกฮอลลีวู้ดธรรมดา พอดูไปก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเหงาหรือเปลี่ยวอะไรขนาดนั้น แต่พอทั้งหมดมารวมกันแล้วดันจบเหงาแบบลอยไปเลย เป็นหนังที่ชวนติดตามมาก ดูแล้วจะเพลินๆอยากรู้ว่าเดี๋ยวจะมีอะไรต่อ หลายๆฉากอยู่ดีๆก็จบไป เช่นฉากที่ไปวัด ก็จบลอยๆ ยังคิดตามไม่ทันเลย ได้ฟีลอินดี้ๆฮอลลีวู้ดๆ งงๆนิดนึง หนังเรื่องนี้เน้นเรื่องความละเลยของคนที่เราสนทนาด้วยบ่อยๆ เช่นเพื่อนที่ชาร์ล็อตต์โทรไปหา อยู่ดีๆก็บอกให้ถือสายรอ ภรรยาของบ็อบ ที่ทุกครั้งที่โทรมาบทสนทนาก็จะจบแบบห้วนๆ จนบ็อบก็เบื่อที่จะคุย เป็นหนังที่ดูแล้วก็ยังสลัดเอาความเหงาออกไปได้ไม่หมด ถ้ายังคงคิดตามไปเรื่อยๆ ภาพสวยดี ชอบฉากที่ยืนดูเจ้าสาวแล้วยิ้ม มันตีความได้ว่ายังไงก็ไม่รู้นะ แต่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง สีก็สวยดี ฉากจบคือสุดแล้ว คือดูๆไปนั่งขดตัว รู้สึกปวดร้าวแทนตัวละครไปตลอดเวลา ความผูกพันของคนต่างวัย ต่างคนต่างแต่งงานแล้ว สถานภาพที่เป็นได้แค่เพื่อน ทั้งหมดมารวมๆกันแล้วอธิบายคำว่า Lost ได้ชัดเจนมาก




เรื่องที่ 5: ปีกนางฟ้า

เรื่องที่ 5: ปีกนางฟ้า
นิยายที่ตอนแรกอ่านไปละรู้สึกว่าคงจะเป็นนิยายเหงาๆเคว้งๆอีกเรื่อง แต่พอจบละแฮปปี้ดี
เป็นเรื่องของผู้หญิงคนนึงที่เป็นชู้กับสามีคนอื่น แต่พอเลิกกันแปดปีต่อมา ก็เคว้งมากๆ ไม่รู้จะทำอะไร เลยกลับบ้าน ช่วงต้นของหนังสือเล่าย้ำๆๆๆๆถึงความเคว้ง เรื่องที่ทำมาด้วยกัน สถานที่ต่างๆ ค่อยๆขยายความการเป็น"ชู้" เช่นว่ามีห้องที่โตเกียวไว้เจอกัน ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันศุกร์ อ่านแล้วก็เหงาตามไปเรื่อยๆ พอกลับไปยังบ้านเกิดก็ยังเหงาอยู่ เพราะทำงานในร้านกาแฟของย่า นอนหลังร้าน แต่เรื่องค่อยๆเปลี่ยนโหมดตั้งแต่เจอกับมิซึรุ ละแฮปปี้ น่ารักๆไปจนจบเล่ม คืออ่านเพลินมาก หนังสือเล่มนี้ใส่เรื่องวิญญาณ ดูดวง สัมผัสพิเศษ อะไรพวกนี้เยอะอยู่ แต่ก็เพลินๆ กลืนไปเป็นเนื้อเดียวกับเนื้อเรื่อง จบแบบค่อนข้างปลายเปิด บอกค้างๆไว้ ก็น่าสนใจดี

ชอบ
-ที่กินราเม็งกันทั้งเรื่อง อ่านแล้วหิว 555555555
-ชอบที่เอาเรื่องฝันมาเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง ที่ทำให้หาของเจอ แม่หายป่วย ฯลฯ พีคดดี
-ชอบที่ค่อยๆปล่อยเรื่องของชู้รักออกไป เหมือนพอเรื่องดำเนินไปก็ค่อยๆลืมเรื่องเศร้าๆไปเรื่อยๆ
-คุณยายนักบุญแห่งสถานีรถโดยสารนี่น่ารักมาก ชอบๆ
-บางดีอ่านจบเร็วดี 555555555
-ตอนจบน่ารักมาก จบค้างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกค้าง


Monday, October 6, 2014

เรื่องที่ 22: Premium Rush

เรื่องที่ 22: Premium Rush-ดูที่บ้าน-ดูกับพ่อ
หนังปั่นจักรยานที่ความยาวของเหตุการณ์จริงๆยาวพอๆกับหนัง แต่เหนื่อยและตื่นเต้นมากกกกก พี่โจเซฟไม่หล่อเท่าไหร่แต่ก็ใช้ได้ 5555555555
เป็นหนังที่มันส์มากอะแกก แบบดูไปนี่คือแทบไม่มีเวลาวอกแวก บางทีซับก็เยอะ อ่านละงงๆ คือโง่มากไม่เข้าใจอะไรโพยก๊วนอะไรปลาช่อน แต่พอดูๆไปก็พอเข้าใจ คือแบบชอบที่ค่อยๆปล่อยเรื่องมาทีละนิด ทำหนังฟีลสืบสวนให้ดูน่าติดตาม มากกว่าแอคชั่นที่ปล่อยๆเนื้อเรื่องลอยๆละเดาตอนจบได้ตั้งแต่สามวิแรก เป็นหนังที่คนขี่จักรยานเป็นประจำ ไม่ว่าจะจักรยานแม่บ้านอย่างเราหรือจักรยานอื่นๆ สามารถ relate to ได้ง่ายมากๆๆๆ ยิ่งฉากที่ต้องคิดอย่างรวดเร็วว่าจะไปทางไหนดีนี่คือใช่มาก 5555555555 ชอบที่ทำฉากโดนรถชนได้เจ็บดีมาก เกร๋ เบื้องหลังดูสนุกมากๆ ใครซื้อดีวีดีมาละยังไม่ได้ดูเบื้องหลังแนะนำเลย เค้าเอาสตันท์พี่โจเซฟมาสี่คนเพื่อขี่จักรยานสไตล์ต่างๆ ละมีคนนึงเป็น bike messenger ที่เร็วที่สุดในนิวยอร์คจริงๆ ตามบทพี่โจเซฟเลย เกร๋ๆ ฉากระดมพลตอนจบคือเด็ด เป็นหนังที่ค่อนไปทางดี นางเอกก็ไม่ใช่แค่มาฟีลเติมเต็มบทไปงั้น แต่เท่จริงๆ เข้ากับบทมาก ฉากในเซ็นทรัลปาร์คคือมันส์ ชอบตำรวจจักรยาน จี้มาก 55555555555555

สรุปคือเป็นหนังที่คนที่ขี่จักรยานเป็นทุกคนควรดู หนังไม่น่าเบื่อ สนุก บทไม่งี่เง่ามาก
ปล. เป็นหนังที่ถ่ายทำในนิวยอร์ค แต่ดูแล้วไม่ได้รู้สึกอินกับสถานที่ซักเท่าไหร่ เห็นแต่ถนน รถติดๆๆๆๆๆ แต่เซ็นทรัลปาร์คคือพีค คือเขียวร่มรื่นเว่อร์

นางเอก พระเอก ละสาวผู้ทำให้ทั้งเรื่องปั่นป่วนด้วยจดหมายฉบับเดียว 55555

Wednesday, April 23, 2014

เรื่องที่4: สดับลมขับขาน

เรื่องที่4: สดับลมขับขาน-มูราคามิ
หนังสือนิยายที่อ่านแล้วอ้าปากค้างทุกๆสองหน้าโดยเฉพาะช่วงแรกๆของหนังสือ หลายๆประโยคอ่านแล้วก็ทวนประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมาจนแบบอินมาก หลายๆประโยคก็inspire มากๆ เป็นหนังสือเล่มแรกที่มูราคามิเขียน รู้สึกว่าอ่านจบแล้วไม่เคว้งเท่ากับเล่มหลังๆที่เคยอ่านมาก่อน รู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงบางๆของวัฒนธรรมหนังสือแบบมูราคามิที่มีกับหนังสือเล่มต่อๆมา รู้สึกอยากอ่านทั้งหมดใหม่ตามปีที่เขียน อ่านเล่มนี้จบก็เพิ่งนึกได้ว่าตัวเอกไม่มีชื่อ เป็นหนังสือที่ตัดฉากสลับไปมาได้ตื่นเต้นมาก บางฉากก็ไม่เข้าใจว่ามีประโยชน์ต่อเนื้อหามากแค่ไหน แต่เหมือนเป็นฉากพักความคิด ตัวเอกเล่าเรื่องย้อนไปได้เรื่อยๆ ดูงงแต่พออ่านจบแล้วก็เข้าใจเรื่อง อ่านจบแล้วรู้สึกหนังสือบางมาก แต่ได้อะไรมาเยอะเหมือนกัน ช่วงท้ายๆเริ่มเป็นเนื้อหา ไม่ได้ปรัชญาอะไรมากมาย อ่านจบแล้วคว้าเล่มต่อไปแทบไม่ทัน อยากได้ฟีลลิ่งเคว้งๆอีก ยังเคว้งไม่พอ ยังอินกับเพลงฝรั่ง แอลกอฮอล์ มหาวิทยาลัย วัยรุ่นไม่พอ อ่านแล้วรู้สึกต้องกลับมาอ่านใหม่ ตอนอ่านครั้งแรกกับตอนอ่านครั้งที่2 ได้อะไรไม่เหมือนกันแน่นอน

ชอบ
-ที่ไปหาจิตแพทย์ เรื่องกระต่ายใส่นาฬิกาที่ไม่เดิน&ตลกที่บอกว่าต้องไปหาหมอฟันเพิ่มด้วย
-"ไม่มีงานเขียนใดสมบูรณ์แบบ เฉกเช่นไม่มีความท้อแท้สิ้นหวังสมบูรณ์" แค่ประโยคเปิดก็อ่านแล้วตายคาที่แล้ว
-แนวคิดของมุสิกเรื่องคนรวย เปรียบเทียบได้เข้าใจ ชัดเจนมาก ที่บอกว่าเหมือนดาวเทียมขึ้นวงโคจร พอเข้าไปอยู่ในวงโคจรแล้วก็ไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงอีก แต่คนจนๆต้องดิ้นรนทุกวันๆ กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
-การบรรยายสภาพอากาศ รู้สึกว่าร้อนไปกับหนังสือจริงๆ เห็นภาพ
-ไม้เมตร 5555555
-รายการสิ่งที่ได้รับกับสิ่งที่ทำลาย
-ความเป็นเพื่อนแบบงงๆระหว่างตัวเอกกับมุสิก

เรื่องที่3: Ender's Game

หนังสือเรื่องที่3: Ender's Game
สนับสนุนหนังสือโดยเอสผ่วย
เป็นหนังสือเกี่ยวกับจักรวาล ต่างดาว ที่แทบไม่รู้สึกถึงห้วงอวกาศเลย 555555 กำ แต่เป็นหนังสือที่คิวท์มาก อาไล <3 บีนก็น่ารัก อิอิ อ่านเพลินๆไม่กี่วันจบ แปลลื่นพอสมควร น่าสงสารเอ็นเดอร์ ฮือ ใจร้าย นางก็อึดดีมาก เป็นหนังสือที่แบบผู้ชาย ผู้ชายเต็มไปหมด 55555 ชอบล็อกกับเดมอสเธนีส (สะกดถูกมั้ย) แต่เป็นพาร์ทที่อ่านไม่รู้เรื่องที่สุดในเรื่องเลย งงมาก ใครข้างไหนอะไรสนธิสัญญาวอร์ซออะไรไม่ได้เรียนรัฐศาสตร์ไม่เข้าใจ 55555 เกมยักษ์เป็นอะไรที่หดหู่มากๆ แต่ก็เหมือนเกมที่เติบโตไปพร้อมๆกับเอนเดอร์ ตกลงบักเกอร์มันยังไง บักเกอร์มาอ่านใจเอนเดอร์ใช่ปะ บักเกอร์ทำสถานที่ให้เหมือนนี่โหดมาก เราว่าหนังสือเล่มนี้ตีความได้เกือบทั้งเล่มแบบพวกความฝันของเอนเดอร์นี่แบบดูลึกลับลึกซึ้งมาก ซิมูเลเตอร์ตอนจบเท่ดี ทุกคนดูทำงานเป็นทีม ตอนแรกเรานึกว่ามันจะจบว่า บักเกอร์ไม่มีจริงเป็นแผนการของผู้นำประเทศที่แบบให้คนตื่นกลัวเพื่อก่อสงคราม 55555555555555 เป็นหนังสือที่อยากให้ทุกคนอ่าน เพลินดี จะอ่านเอาเพลินหรือจะอ่านเอาจริงเอาจังก็ได้ ชอบประเด็นที่เดินทางไปแล้วไม่แก่ ไซไฟดี แต่เกลียดตอนจบ โฮ คว้างมาก คว้างมาก

สรุป เรารีวิวได้กากมากเอาเถอะอ่านผ่านๆจงข้ามไป เดี่ยวดูหนังแล้วจะเปรียบเทียบกันอีกที

เรื่องที่ 21: Need For Speed

เรื่องที่ 21: Need For Speed-ดูเดอะมอลล์-ดูกับพ่อ
โอยเป็นหนังรถซิ่งที่โคตรพ่อโคตรแม่คลีนฉายช่องดิสนี่ย์ได้แบบไม่ต้องเซ็นเซอร์ สนุกจริงแต่คลีนไป-สปอยล์เยอะเลยแต่อ่านไม่เข้าใจหรอก 555555
ดูเพลินๆดีแบบหนังก็เรื่อยๆ มาดูเพราะเคยเล่นเกมแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมาก รถก็ไม่รู้จัก 555555 แต่ตัวเนื้อเรื่องก็เพลินๆ แบบแม่งไม่มีใครหล่อเลยซักคนทั้งเรื่อง นางเอกก็หน้าตางั้นๆ บุคลิกแต่ก็ละคนก็เกือบจะไม่ชัด หลายอย่างไม่มีเหตุผล แบบดิโนจะขับชนพีททำไมทั้งๆที่รู้ว่าเดี๋ยวก็คว่ำ แล้วทำไมแม่งลงสะพานไปขนาดนั้น เว่อร์ไปปะ ทีตอนดิโน่โดนชนยังแค่คว่ำ นางดันไม่ตายอีก ฮ่วย ยิ่งตอนท้ายๆ แบบทิ้งประเด็นค้างไว้เยอะมาก ดิโน่โดนจับเรื่องฆ่าพีทมั้ย ทำไมโมนาร์คจัดการแข่งขันแล้วไม่เคลียร์กับตำรวจ จูเลียกลับไปทำอะไร แล้วทำไมอยู่ดีๆมารับได้ ได้อู่ซ่อมรถคืนมั้ย ทำไมมาเวอริคแม่งมีเครื่องบินตั้งแต่แรกวะโคตรเว่อร์ รถที่โทบี้ขับมาที่โดนชนคว่ำเป็นไงบ้างแล้ว แล้วตอนจบทำไมแม่งถึงโดนจับโง่ๆ โถ่ว คือเป็นพ้อยท์ที่แบบ ดูแล้วแบบ อ่อ นี่จะสอนว่าถ้าทำผิดกฎหมายยังไงก็ต้องเข้าคุก อะไรงี้เหรอ คือยังไง คือปล่อยให้นางอยู่นอกคุกซักแปปได้ม้อย ตอนที่ไปรับฟินน์ก็แบบ แล้วไง แล้วฟินน์ได้ซ่อมรถให้หรือเปล่า ปล่อยประเด็นค้างเยอะมาก ชอบฉากที่ขับรถอยู่แล้วเปลี่ยนที่นั่งกัน คิวท์จุงเร ฉากที่ขับรถออกจากโรงแรมแล้วโดนชนนี่แย่มาก กำลังเข้าได้เข้าเข็ม กำลังคิวท์ ตอนฟินน์ออกจากที่ทำงานแล้วถอดเสื้อผ้าหมดคือตลกมาก งงเพื่อนโทบี้ที่หน้าเม็กซิกันหน่อยๆ นางแทบไม่มีบทเลย ทำไม ออกจะดูเท่
งงที่ตอนไปรับฟินน์แล้วขับรถวนนางถ่ายวิดีโอด้วยไอแพด คืออะไร ยังไง ทำไมดูแอบกาก 5555
โทบี้หล่อกว่านี้ได้อีกมั้ย 55555 คือแต่นางขับรถแล้วเท่มาก ยิ่งตอนที่ใส่แว่นขับรถนี่ค่อยดูดีหน่อย ดูเท่ ดูมั่นใจ จูเลียคาแร็คเตอร์ไม่ชัด ตกลงจะสาวมั่นขายรถซิ่งหรือสาวกรี๊ดกร๊าดที่ขี้กลัวหรือสาวใจแข็ง หรือยังไง งง แต่นางคิวท์ดี ตอนที่ปีนไปเติมน้ำมันน่ารักดี ดิโน่ก็หล่อกว่านี้ได้อีกนะ 55555 

สรุป หนังรถซิ่งครอบครัวแห่งปี ชวนพ่อแม่ไปดูได้ไม่มีปัญหา ถ้าอยากดูสาวเอ็กซ์ๆเชิญเรื่องอื่น เรื่องรถนี่เพลินดี แต่พอดีไม่รู้จักอะไรเลย ก็เลยดูแต่เนื้อเรื่อง
ปล.สตันท์เยอะไปนะนี่มันปี2014แล้วยังต้องใช้สตันท์เยอะขนาดนั้นอีกเหรอ
ปลล. ชอบที่ขับรถข้ามสองเลน เกรียนมาก

ตอนแรกจะใช้โปรโมชั่นของ Mastercard ที่ซื้อ2ที่นั่งแถมป็อบคอร์น โค้ก ทีนี้กว่าจะลงทะเบียนบัตรได้ทำอยู่3รอบ เลยเลิก บายโค้ก บายป็อบคอร์น

Friday, April 18, 2014

เรื่องที่20: Noah

เรื่องที่20: Noah-ดูเดอะมอลล์งาม-ดูคนเดียว 
หนังที่ทุกคนรู้ตอนจบอยู่แล้วแต่เป็นหนังที่ดูแล้วเหนื่อยมากกกกกกกก ถ้าวันนั้นชีวิตดีอยู่ก็อย่ไปดูเลยดูแล้วหม่นๆ เหนื่อย ลุ้น นักแสดงดีจริง-สปอยล์นิดหน่อย
อุตส่าห์เขียนจนจบแล้วโพสต์หายไปไหนก็ไม่รู้ 55555 เป็นหนังที่ยาวเฟื้อยมาก ดูแล้วประทับใจซีจี พวกฉากที่สลับไปเรื่อยๆ แบบสัตว์เดินแล้ววิวัฒนาการไป หรือฉากที่สายน้ำไหลไปเรื่อยๆ สวยมาก ดูตั้งใจทำดี นักแสดงก็ดี ภรรยาของโนอาห์น่าสงสารมาก&เล่นดีมาก โนอาห์ก็เครียดเกิ้น อีโมชั่นเยอะตลอดเลย ทั้งเรื่องชอบคุณปู่ของโนอาห์ เกรียนดี 55555 ชอบพี่ชายคนโต คือหล่อ <3 ฮอทสุดๆ กิกิ
http://thats-normal.com/2013/07/guys-we-google-our-fantasy-doctor-who/  
หล่อนะ หล่อนะ ดูจบแล้วแอบเกลียดโลแกน เลอร์แมน ถถถถ ต้องไปดูเองนะ 5555 เอ็มม่าคือน่ารัก น่าสงสารมากๆตอนแรกๆ
ไม่ชอบความยืดยาดของหนัง คือดูแล้วเหนื่อยใจยกกำลังห้า แบบแค่ประเด็นที่โนอาห์จะฆ่าลูกแม่งก็ทำให้อึดอัดพอละ นี่ยังมีประเด็นลูกจะฆ่าพ่อ โอยๆ อยากรู้ว่านี่คือมาจากตำนานหมดเลยปะ? หรือแต่งเพิ่ม คือเพลินๆดี ไม่น่าเบื่อ แต่แบบ โอย กินงู โอย น่ากลัว
แนะนำให้ไปดูคนเดียว จะได้ออกมาแล้วอึดอัดคนเดียว 5555 ไม่เหมาะแก่การใช้เวลาว่างชิวๆ เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูโปรดัคชั่นอลังการ หรือติ่งเอ็มม่า 5555555555555 บางฉากงงๆ ฉากที่ไปตลาดแล้วไฟไฟม้ ยังงงว่าฝันหรือว่ายังไง ผู้พิทักษ์น่ารักดี อิอิ ชอบตอนจบที่โนอาห์กลับมาช่วยพรวนดิน แล้วก็มอบสิทธิ์ในการให้กำเนิดให้หลาน น่ารักดี

สรุปเป็นหนังที่อลังดี โปรดัคชั่นเว่อร์ แต่ดูแล้วเครียดชิบหาย 55555



Tuesday, April 15, 2014

สงกรานต์สยาม 2557

14 เม.ย. 57
เล่นตั้งแต่เกือบบ่ายสาม-สี่โมงเย็น
ใช้เวลาฝ่าออกมา หาทางออก เปลี่ยนชุด เดินหาอะไรกิน อีกเกือบชม.
ก็สนุกดี คนไม่ได้เยอะแบบคลั่งตาย พอไหลๆได้ เดินเพลินๆ ไม่ได้เอาปืนฉีดน้ำไปเหมือนเดิม 555555555 นัดกับจุ้ย ตี๋&เดอะแก๊งค์ botany นอดี้ นัดกัน11โมง ออกจากบ้านบ่ายโมง 5555555 ตลก ไปถึงก็เลยเดินเล่น หาเรื่องซื้อครีมกันแดดเพื่อเอาถุงพลาสติก #ทำไมดูidiotมาก บ่ายสองครึ่งฝ่าสงครามน้ำออกไปจากพารากอน-ดิจิตอลเกทเวย์ มีคนสาดน้ำเย็นมาเต็มหลังเลย พ่อง หนาว เดินเข้าดิจิตอล ไปออกข้างหลัง จุ้ยรออยู่แบบอะโลน มีตรวจของก่อนเข้าสยาม แล้วคือเป็นกระเป๋ากันน้ำ กว่าจะเปิดได้5555 ไปเล่นกับจุ้ยก่อนรอบนึง เด็กร้านขายน้ำสาดน้ำเย็นตลอด อออย &มีสปริงเกอร์พ่นน้ำ มีการ์ดอยู่ข้างบน มีขายผ้าขาวม้า สรงน้ำพระ เพลินๆ ไม่ต้องมีปืนก็ขำๆ มีคนแต่งคอสเพลย์เป็นยาม ตลกดี 55555 เสร็จแล้วกลับไปเจอพวกตี๋ ถ่ายรูปด้วย xperia ทุกคนตื่นเต้นว่าไม่กลัวเปียกน้ำหรอ 555555 ไปเดินอีกรอบ หยุดซื้อผ้าขาวม้าข้างร้านน้ำ ออย หนาว โดนสาดน้ำเย็น5555 สุดทางก็กลับ เออมีคนเอาทีวีมาครอบหัวกันน้ำ ตลก จุ้ยปวดหัว แยกไปทางแห้งๆ ที่เหลือมาไฟ่ต่อ เราเดินกลับตรงดิจิตอลเกทเวย์ ปรากฎว่าข้างหลังไม่ให้เข้า(?) เลยไปข้างๆ ก็มียามอีก นึกว่าไม่ให้เข้า เลยเดินไปอีกประตูข้าง
--------EXPLICIT PART----------EXPLICIT มากๆๆๆ โปรดข้ามไป
แถมมีคนดักสาดน้ำแบบทั้งขัน อีดอก ขอด่าหน่อย ถ้าขายของก็ขอให้เจ๊ง มึงสนุกมากใช่ปะสาดคนที่ตัวจะแห้ง จะกลับบ้าน แถมบอกก็กว่าจะเข้าใจ ฟังภาษาคนไม่เข้าใจเหรอวะบอกไม่สาดๆ แบบขนาดบอกว่า ไม่เอาค่ะ จะกลับแล้วค่ะ นางยังยืนถือขันค้างอยู่ พ่อง จนต้องแบบ ขอหน่อยเหอะ &ทำเสียงแข็ง แม่งถึงยอม อีดอก ไม่ขำนะเว้ย ยามผญ.แม่งก็ดุสัด แม่ง แค่จะเดินไปถามว่าซอย3แม่งอยู่ตรงไหน แม่งก็ ตัวเปียกไม่ให้เข้าห้างเลย! คือเรายืนชี้ป้ายค้างอะ แม่งเขียนว่าให้เข้าทางซอย3 บ้านไม่ได้อยู่สยามจะรู้มั้ยคะ? แถมเล่นแปะประกาศไว้ทุกประตู แทนที่จะ ตัวเปียกเข้าประตูนี้ คือถ้ารู้ก็ไม่ต้องหงุดหงิดอียามกับอีคนขายของละ
-------- clean part-------
เดินย้อนกลับมา ขอพี่สตาฟฟ์มุดรั้วมา เข้าประตูตรงกลาง ประตูข้าง เปลี่ยนชุดที่ดิจิตอลเกทเวย์ ห้องน้ำเหม็นมาก แต่ก็ไม่สกปรก เปลี่ยนชุด เช็ดตัว ไปพารากอน พยายามเดินหาร้านที่ราคา reasonable นิดนึง พบว่าไม่มี และเต็ม เลยจบที่มอสเบอร์เกอร์ นั่งกินแบบฟินๆ อร่อย เบอร์เกอร์ร้อนๆ โค้กเย็นๆ น้ำตาจะไหล กินเสร็จก็มาที่ bts พยายามจะใช้แต้มแรบบิทเติมเงินบัตรแรบบิท ไม่พอ ต้องกดตังค์ไปเติม ก็เลยได้กลับบ้าน พ่อมารับ เย้
สรุปวันนี้ใช้เงินไป
-ครีมกันแดด 159
-ผ้าขาวม้า 180 (สีสวยดี)
-มอสเบอร์เกอร์ 149
-แรบบิท 100
-เติมเงินมือถือ 50
=638 บาท แหม่ นี่เพิ่งครึ่งเดือนนะคะ เดือนนี้ยังอีกยาวไกล แหม่ 

คือจริงๆภาพนี้ต้องบรรยายว่า คนไทยผู้ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาที่อยู่ในรถบีทีเอส คือหัวขบวน ตรงที่คนมาจากรถเมล์ หมอชิต คนแน่นมาก ไม่มีที่นั่ง พอย้อนมาอีกฝั่ง โหย โล่ง เตะตะกร้อได้ แต่รูปคนเต็มอยู่กับน้อง จิรนตนาการเอา เข้าใจตรงกันนะ

มนุษย์ทีวี

ภาพบรรยายกาศ brought to you by Xperia Z
จุ้ยโดนอาถรรรพณ์



ที่เวที มีเซิ้ง โปงลาง เพลินๆดี
 

อียอร์เป็นนายแบบผ้าขาวม้า
น่ารักดี หน้าสยามเซ็น
ไปกินมาจริงๆนะ 555
ปิดท้ายแจร้

Saturday, April 12, 2014

30 วิถึงดาวอังคาร- a journey that I will never forget

5 เมษายน 2557
ไบเทคบางนา ฮอลล์ EH106
ผู้ร่วมผจญภัย-พ่อมายแป๋มป้าเฟย์และน้องฟิน

บัตรของข้า
ปั่นเสื้อตัวนี้คืนวันที่่่่่4 ฉิวเฉียดมาก 5555555
ออกจากบ้าน 17.30 ตอนแรกจะไปรถไฟฟ้า แต่พ่อบอก ขับรถไปก็ได้ แล้วก็โชคดีมากที่ขับรถไป คือ40นาทีถึงบางนา จากงามวงศ์วาน ตั้งแต่ยังไม่ถึงก็โดนโทรตามจากแป๋มและป้าเฟย์ 5555 ไปถึงไบเทค เดินลงจากรถ เห้ยนี่พีเพิ่ลจากไหน อะไรยังไง 5555 ใส่เสื้อลายดอกเต็มไบเทคเลอ เดินไปฮอลล์ eh106 คืองงทางมากและพบว่าทุกคนต้องเดินย้อนทางลงรถเพื่อออกจากอาคารจอดรถ เออใช่ที่จอดรถอลังการมาก 555555 ถ้ำแบทแมนมาก ไปถึงก็เจอแป๋ม ถ่ายรูปคู่กับป้าย
ท่ายืนคือสิ้นคิดมาก 5555

เข้างานแล้วได้อันนี้มา อันนี้คือบัตร 3000
เข้าปุ๊บก็เจอป้าเฟย์มายืนรอ ยืมปากกาจาก echelon thailand ขอบคุณพี่แอดเนยแห่งเพจซัม41 นะคะ ไปเข้าห้องน้ำ เอาบัตรชิงโชคไปหย่อน แล้วก็ไปนั่งรอตรงหน้าประตู เจอพลวยแล้ว นางเอาของขวัญวันเกิดมาให้ เลยเอาฝากพ่อออกไปเก็บ ประตูเปิด19.30 ขาเข้านี่อนาถมากแบบเข้าใจคนมาก่อนนะ แต่มันงงไปหมดแล้วว่าใครมาก่อนมาหลัง พีเอ็มจีก็ไม่คิดจะทำแถวให้ดีๆเลยนะคะแหม่ ต้องตรวจบัตรอีกรอบก่อนเข้าด้วยนะ! แล้วคือตอนนั้นคนเริ่มใช้อารมณ์ละ แบบตะโกนด่ากัน คือเข้าใจว่าหงุดหงิด แต่ไม่ต้องหยาบก็ได้มั้งแหม่ เสียอารมณ์กันไปหมด พอเข้าไปได้ก็เข้าไปยืนตรงเวทีที่ยื่นออกมา ห่างจากรั้วประมาณ3แถว
นี่คือพีเพิ่ลตอนก่อนคอนเสิร์ตเริ่ม เยอะอยู่นะ ตอนที่หันไปดูข้างหลังก็แอบตกใจนะ แบบไม่ถึงครึ่งชม.ตรงที่เคยโล่งนี่ออกไม่ได้ละ 
ซักพักพี่แม็กก็โทรมา พี่แกพาเพื่อนมาอีกสองคน ใช้วิชานินจาฝ่าพีเพิ่ลเข้ามาได้ 5555
30 Seconds to Mars Setlist Bitec Bangna, Bangkok, Thailand 2014, Love Lust Faith + Dreams
เกือบ 20.30 วงก็ขึ้น เพลงแรกมาเลย Birth จุดนั้นคือมองไม่เห็นอะไรในโลกเลยอะ 555 เห็นแต่มือ ได้แต่กรี๊ดเลย ปรี้จาเร็ดออกมา ใส่เสื้อแจ็กเก็ตหนัง ผูกเสื้อลายสก็อตไว้ที่เอว คิวท์ๆ 
Night of the Hunter เพลงมันตื้ดๆมาก โดดอย่างเดียว ยังมองไม่เห็นอะไรอยู่ดี 55555
Search and Destroy นางสั่งให้ get down แจร้ ทุกคนก็ย่อลง แล้วก็โดด อัดวิดีโอมานี่แบบ เหมือนเกิดแผ่นดินไหวอะ สั่นนนนนนนนน 5555
This Is War เป็นอะไรที่ cult มาก 55555 ท่อนที่ประสานเสียงอะอลังมากยังกะซีดีมาเอง 5555 ตอนที่พี่แกบอก Thailand, show me what you've got ก่อนคอรัสสุดท้ายนี่กรี๊ดมาก ลูกโป่งมา กรี๊ด 

เพลงอะไรจำไม่ได้ เท่ดี น่าจะ This is War
Kings and Queens พี่จาเร็ดออกมาใกล้ๆหนูละ ลูกโป่งนี่ก็แตกปังๆๆตลอด 5555
Conquistador ง่ะ ร้องไม่ค่อยได้ 55555 we wil we will we will rise again. 
Do or Die อลังง่ะ ตอนเริ่มก็ร้อง acapella กัน and the story goes on แบบขนลุกมาก คนชุดแรก หนุ่ม3คนขึ้นมา พี่จาเร็ดเอาธงไทยมาโบก 


City of Angels ชอบที่บอกว่า ไม่ได้มีแค่ที่ LA ที่เดียวที่เป็น city of angels กรี๊ดไปดิ 555555 คนร้องได้เยอะอยู่ พี่จาเร็ดบอกให้เปิดไฟฉาย หันไปดูก็สวยดี ติดที่ว่าเปิดไม่เป็น 55555
เอาวงไปเก็บ พี่จาเร็ดออกมาคนเดียว เล่าถึงตอนมากรุงเทพครั้งแรก ว่าประทับใจ history culture บลาๆ ติ่งดิ้นรัวๆ 55555 แล้วก็ I wanna pay respect to the great King of Thailand ว้าว พี่ทำการบ้านมาดีไปมั้ย ชอบๆ น่ารักดี แล้วก็ร้อง Hurricane คือมี Do you really want, do you really want me? คือ YES!! กันทั้งฮอล์ 555555555 คนที่ยืนรอบๆเราติ่งมาก ร้องดังมาก ชอบๆ พี่จาเร็ดนางเหมือน jesus มากพูดเลย พี่แกเรียกสาวไทย2คนขึ้นมา และสอนคำว่า Bangkok ในภาษาไทย 555555


The Kill พี่แกเล่นกีต้าร์แรงและชัดดี เอาสาว2คนไปยืนเป็นตัวประกอบ มีให้โบกมือด้วย
The Race คือร้องไม่ได้ 55555


Stay วงกลับมาละ เป็นเพลงหนึ่งในไม่กี่เพลงที่หาพี่โม่เจอ 55555 คือคนบังตลอดเลอ แง้



Closer to the Edge อีกเพลงที่อลัง เพิ่งรู้ตัวว่าไหลมาสุดเวทีแล้ว 555555 มี No! No! No! No! แบบไฟเปิดปิดตามเสียงคนตะโกน เท่ๆ โปรยกระดาษสีดาว เฟี้ยวฟ้าว พี่จาเร็ดมาใกล้ๆด้วย

แล้วก็ encore คนตะโกน We want more!! คือไม่รู้จะตะโกนอะไรชื่อวงยาวเกิน 55555
ทั้งงานถ่ายชัดแค่นี้ 55555



แล้วก็พี่แกมาเลือกคนขึ้นเวที สาวลูกครึ่งฝรั่งเศสขึ้นไปก่อน จะเรียกเพื่อนขึ้นไป พี่จาเร็ดบอก ไม่ได้ ต้องเป็น thai national เท่านั้น 55555 คนเยอะมาก การ์ดไม่ให้ขึ้นหลายคนอยู่ ที่มั่วๆมา 5555 แล้วก็ Up in the Air คนไปยืนอยู่ข้างหลัง มีทีมงานยืนกันไม่ให้คนวิ่งวุ่นด้วย ดูการจัดการเว่อร์ดี 555

นี่คือพีเพิ่ลที่ได้ขึ้นไป


งานจบกี่โมงจำไม่ได้อะ รู้แต่ไวมาก สั้นพอสมควร แต่ก็คุ้มนะ 555555 หล่อ 5555 คือทั้งงานเห็นแต่พี่จาเร็ด แบบรอบหน้าจะไปตรงพี่โม่ละ ไม่ไหว ตรงเวทียื่นนี่ไม่เห็นอัลไลเลย 5555 จบงานก็ถ่ายรูปกัน และพบว่าแม่พลวยได้ขึ้นเวที และได้กอดแชนน่อนด้วยจ้ะ!! ขากลับก็ไปส่งแป๋ม และกินข้าวต้ม กลับมาบ้านนั่งติ่ง 5555555555555555

ซ้ายไปขวา เรา น้อง แป๋ม น้องฟิน ป้าเฟย์ พี่ที่เจอในงาน2คน
ตรงกลางคือพลวย และพี่มิน พี่สาวในตำนานป็อบพังก์ 5555
พี่แม็ก แอดมินเพจกรีนเดย์ไทยแลนด์ฮ้าฟ
ปะป๊าและมาย
 รูปนี้เมนสตรีมมาก แต่ชอบ 5555